KNOWLEDGE

2019-12-06 00:00:00

เกร็ดความรู้ เรื่อง คดีประวัติศาสตร์ Cambridge Analytica

ในปี 1990 ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ มีบริษัทเอกชนเปิดใหม่ชื่อ SCL ทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูล
เพื่อประโยชน์ในเชิงการค้า เช่นถ้ามีสินค้าอะไรอยากจะโฆษณาให้ตรงเป้าหมาย ก็จะมาจ้าง SCL เพื่อทำ Target Group จะได้รู้ว่าสินค้าของตัวเอง ควรโฆษณาช่องทางไหน จะตรงกับกลุ่มลูกค้ามากที่สุด

            ในเวลาต่อมา SCL เริ่มจับตลาดการเลือกตั้ง มีการไปช่วยพรรคการเมืองทำแคมเปญหาเสียงออนไลน์ และมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ พรรคการเมืองในหลายประเทศ เช่น อิตาลี โรมาเนีย แอฟริกาใต้ ไนจีเรีย โคลอมเบีย และ ฟิลิปปินส์ ชนะการเลือกตั้งด้วย

            ในปี 2012 SCL ตั้งบริษัทลูกชื่อ เคมบริดจ์ อะนาไลติก้า เพื่อทำตลาดการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะ โดยบริษัท มีส่วนร่วมกับการเลือกตั้งทั้งระดับรัฐ และระดับประเทศ ผลงานที่โดดเด่นที่สุด คือ
การทำให้เท็ด ครูซ วุฒิสมาชิกจากรัฐเท็กซัส เกือบได้เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน ในการเลือกประธานาธิบดี
ปี 2016 ผลงานของเคมบริดจ์ อะนาไลติก้า จึงไปเข้าตาทีมหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์ และดึงมาร่วมงานกัน ในศึกแย่งชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับฮิลลารี่ คลินตัน

            ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ดร.อเล็กซานเดอร์ โคแกน ได้คิดค้นแอปพลิเคชันอัจฉริยะขึ้นมา ในชื่อ “This Is Your Digital Life” ซึ่งเบื่องหน้าเป็นแอปพลิเคชันตอบคำถามทั่ว ๆ ไป แต่เบื้องหลังการทำงานของแอปพลิเคชัน คือ เมื่อมีคนตอบรับ Allow ให้แอปพลิเคชันเข้าถึงข้อมูลได้แล้วจะสามารถดูดข้อมูลของผู้ใช้
ได้ทุกอย่าง ทั้งอีเมล รูป แมสเซจในอินบ็อกซ์ ข้อมูลในวอลล์ รวมถึงโพรไฟล์ทั้งหมด

            This Is Your Digital Life จะดูดข้อมูลของ Friends “ทุกคน” ที่ผู้ใช้คนนั้นมี หมายถึง ถ้าเรามีเพื่อน 1,000 คน  ก็จะได้ข้อมูลทั้งรูป แมสเซจ ทุก ๆ อย่าง ของเพื่อนทั้ง 1,000 คนของเราไปด้วย

            มีคนสมัครใช้งานแอปพลิเคชั่น This Is Your Digital Life ทั้งหมด 270,000 คน แต่ This Is Your Digital Life ก็ดูดข้อมูลของเพื่อนผู้ใช้แอปพลิเคชันไปด้วย รวมแล้วทั้งหมดคาดว่า อยู่ที่ 50-87 ล้านยูสเซอร์

            ในปี 2015 เฟซบุ๊กเห็นช่องโหว่อันอาจจะก่อให้เกิดปัญหา และตัดสินใจแก้ไข API ป้องกันไม่ให้เข้าถึงข้อมูลเพื่อน ๆ ได้อีก และมีการพูดคุยกับ ดร.โคแกนให้ทำลายข้อมูลเดิมทิ้ง อย่างไรก็ตาม ดร.โคแกนไม่ได้ทำลาย และเก็บข้อมูลผู้ใช้ 87 ล้านคนไว้

            ดร.โคแกน ติดต่อมาหา เคมบริดจ์ อะนาไลติก้า เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้ไป “ขาย” ให้กับบริษัท ซึ่ง
เคมบริดจ์ อะนาไลติก้า ตัดสินใจซื้อทันที เพราะมีข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้จำนวนมากโดยคาดว่า 50 ล้านยูสเซอร์ เป็นผู้มีสิทธิโหวตในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2016 ด้วย

            รายงานจาก เดอะ การ์เดี้ยน เปิดเผยว่า เคมบริดจ์ อะนาไลติก้า ได้เอาข้อมูลเหล่านี้ ใช้ประโยชน์
เพื่อการเลือกตั้งหลายอย่างทั้งแบบตรง ๆ อย่างเช่น การส่งอีเมลโปรโมทโดนัลด์ ทรัมป์ให้ผู้ใช้โดยตรง และแบบประยุกต์ คือดูกระแสว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่กังวลใจเรื่องอะไร ก็โจมตีฮิลลารี่ คลินตันด้วยข้อมูลนั้น

            ทีมหาเสียงของทรัมป์จ่ายเงินให้ เคมบริดจ์ อะนาไลติก้า อย่างน้อย 90 ล้านดอลลาร์ (2700 ล้านบาท) เพื่อยิง Ads ลงโฆษณาออนไลน์ในเฟซบุ๊ก ซึ่งเคมบริดจ์ อะนาไลติก้า ก็จะทำการวิเคราะห์จากสเตตัสของกลุ่มผู้ใช้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ช่วงนี้สนใจเรื่องอะไรอยู่ ก็จะเน้นข้อมูลตรงนั้น

            ด้วยข้อมูลจาก เคมบริดจ์ อะนาไลติก้า ทำให้ทีมหาเสียงของทรัมป์ยิง Ads ได้อย่างแม่นยำ
ตรง target Groups และตัวทรัมป์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่มีการสำรวจ

            สุดท้ายการเลือกตั้งสหรัฐฯก็สิ้นสุด และเป็นชัยชนะอย่างพลิกความคาดหมายของโดนัลด์ ทรัมป์
ซึ่งในวันที่ทรัมป์ชนะ ซีอีโอของ เคมบริดจ์ อะนาไลติก้า อเล็กซานเดอร์ นิกซ์ ก็ร่วมประกาศชัยชนะด้วย

            ในปี 2016 ไม่ได้มีเพียงแค่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่น่าประหลาดใจเท่านั้นแต่ การเลือกตั้งกรณี Brexit ของสหราชอาณาจักรก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจเช่นกัน เพราะตอนแรก เสียงของฝั่งอยู่ต่อ (Remain) ดูจะมาแรงกว่า แต่สุดท้ายผลลัพธ์ออกมาเป็นฝั่งออกจาก EU (Leave) เอาชนะไปได้สำเร็จ

            การเลือกประธานาธิบดีที่สหรัฐอเมริกากับการเลือกตั้ง Brexit ที่สหราชอาณาจักร ทำให้นักข่าวจากหนังสือพิมพ์เดอะ การ์เดี้ยน ที่ชื่อ คาโรล คัดวัลลาเดอร์ เริ่มสงสัยว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ชัยชนะที่พลิกความคาดหมาย  เธอจึงเริ่มลงมือสืบค้น และในที่สุดก็ค้นพบความเชื่อมโยงระหว่าง 2 การเลือกตั้งนี้ นั่นคือมี เคมบริดจ์ อะนาไลติก้า เป็นผู้ทำฐานข้อมูลให้ฝ่ายชนะเหมือนกันทั้งคู่ หลังจากหาข้อมูลอยู่ 1 ปี ในที่สุดเธอก็ไปเจอ “คนใน” ชื่อ คริสโตเฟอร์ ไวลีย์ ซึ่งดูเหมือนจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับแนวทางขององค์กรตัวเอง

            ไวลีย์ คือพนักงานของเคมบริดจ์ อะนาไลติก้า และรู้ข้อมูลทุกอย่าง ซึ่งคาโรลต้องพยายามเกลี้ยกล่อมขอข้อมูลจากไวลีย์อยู่นานเป็นปี โดยชี้ให้เห็นว่าถ้าปล่อยให้ เคมบริดจ์ อะนาไลติก้าทำแบบนี้ต่อไป ก็อาจจะไม่เห็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมอีกเลย เพราะจะมีคนใช้ข้อมูลส่วนตัวเอามาชี้นำทางการเมืองตลอดเวลา

            มีนาคม 2018 ไวลีย์ตัดสินใจส่งมอบข้อมูลทั้งหมดที่เขามีให้กับ คาโรล และยังกล้าเปิดหน้า เพื่อยืนยันว่าเขามีตัวตนจริง ๆ อีกด้วย

            18 มีนาคม หนังสือพิมพ์ ดิ อ็อบเซอร์เวอร์ ของประเทศอังกฤษ (ซึ่งเป็นสื่อในเครือของเดอะ
การ์เดี้ยน) ได้ตีพิมพ์ข่าวเฮดไลน์เต็มหน้า โดยพาดหัวว่า “เปิดโปง : ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 50 ล้านคน โดนบันทึกข้อมูลเอาไปใช้” พร้อมลงใบหน้าของคริสโตเฟอร์ ไวลีย์ โดยไวลีย์บรรยายถึงรายละเอียดในขั้นกระบวนการว่าเคมบริดจ์ อะนาไลติก้า ทำอย่างไร และอธิบายถึงแอปพลิเคชันอัจฉริยะของดร.โคแกนด้วย นอกจากนั้นในวันเดียวกัน คาโรล คัดวัลลาเดอร์ เขียนอีกหนึ่งบทความให้นิวยอร์ก ไทม์ส เพื่อเปิดเผยความจริงไปพร้อม ๆ กัน จึงกลายเป็นอิมแพ็กต์อย่างรุนแรงทั้งฝั่งอังกฤษ และฝั่งอเมริกา

            20 มีนาคม 2 วันหลังโดนเปิดโปงรัฐสภาสหรัฐฯ ต้องลงมาสอบสวนเรื่องนี้ เนื่องจากเหตุข้อมูลส่วนตัวรั่วไหล ถือเป็นวาระสำคัญของประเทศ ขณะที่ฝั่งอังกฤษ รัฐสภาอังกฤษเรียกคริสโตเฟอร์ ไวลีย์ มาให้หลักฐานเกี่ยวกับเคมบริดจ์ อะนาไลติก้า

            21 มีนาคม มาร์ก ซัคเคอเบิร์ก เจ้าของเฟซบุ๊ก ก็ไม่สามารถอยู่เฉย ๆ ได้ เพราะข้อมูลที่ เคมบริดจ์
อะนาไลติก้า เอามาใช้งานนั้นหลุดออกมาจากเฟซบุ๊ก ตลาดหุ้นจับตาดูการเคลื่อนไหวของซัคเคอร์เบิร์กตลอดทั้งวัน เขาจำเป็นต้องยืนยันความปลอดภัยของเฟซบุ๊ก ว่าเหตุการณ์ล้วงข้อมูลแบบนี้จะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ ทำให้ซัคเคอร์เบิร์ก ที่ปกติแทบไม่เคยโพสต์อะไรเลย จำเป็นต้องแถลงการณ์ผ่านหน้าวอลล์ของตัวเอง โดยยืนยันว่า

 

“ผมเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด กับสิ่งที่เกิดขึ้นในเฟซบุ๊ก ผมซีเรียสมากกับเรื่องการปกป้อง และรักษาความปลอดภัยให้กับชุมชนของเรา”

 

            เมษายน 2018 มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก ขึ้นให้การกับวุฒิสภาสหรัฐฯ เพื่ออธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และยืนยันว่าได้จัดการอุดรอยรั่วของข้อมูลทั้งหมดแล้ว การแถลงข่าวอย่างตรงไปตรงมา และยอมรับความผิดโดยตรงทำให้ หุ้นของเฟซบุ๊กกระโดดขึ้น 4.5% ในวันเดียว

            ในมุมของเฟซบุ๊ก เองก็เป็นเหยื่อของเคมบริดจ์ อะนาไลติก้าเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เฟซบุ๊กไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งปรับเงิน 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (150,000 ล้านบาท) โทษฐานทำข้อมูลส่วนตัวของประชาชนรั่วไหล ซึ่งเป็นโทษปรับที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย

            แม้จะไม่สามารถมีบทลงโทษเชิงกฎหมายได้ แต่ชื่อเสียงของเคมบริดจ์ อะนาไลติก้า ในการลักลอบ
ใช้ข้อมูลส่วนตัวก็โด่งดังไปทั่วโลก ส่งผลให้ไม่ถูกยอมรับจากลูกค้าทั้งในสายการเมือง และสายพาณิชย์ ไม่มีใครกล้าใช้บริการของเคมบริดจ์ อะนาไลติก้าอีก ทำให้ วันที่ 2 พฤษภาคม 2018 บริษัท เคมบริดจ์ อะนาไลติก้า ประกาศปิดกิจการอย่างกะทันหัน เช่นเดียวกับบริษัทแม่ SCL ก็ต้องปิดกิจการไปพร้อมกัน

 

ที่มา: workpointnews